สะบายดีหลวงพระบาง ตอนที่ 2

9:54 ก่อนเที่ยง




ต่อจาก ตอนที่แล้ว หลังจากที่ผ่านการเดินทางมาอย่างทรหดอดทน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะทนการนั่งรถที่ทรมานขนาดนี้ได้อีกหรือไม่ วันนี้ก็ได้เห็นหลวงพระบางแบบที่ต่างจากที่คิดไว้ค่อนข้างมาก

ภาพที่คิดมาคือ วิถีชีวิต ชาวบ้านร้านค้านั่งขายสินค้าพื้นบ้าน อาหารก็เป็นอาหารพื้นบ้าน คือเราติดภาพจากปากเซเมื่อปีที่แล้วมาไง  แต่เราก็ทำใจมาบ้างว่าเออ มันเป็นเมืองท่องเที่ยวนะ ทุกสิ่งอย่างมันก็ต้องเพื่อขายสำหรับแขกเรื่อที่มาเยือนมากกว่าจะขายให้คนกันเอง แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้ไง โดยเฉพาะโรงแรม,โฮมสเตย์,ร้านขายทัวร์,ร้านกาแฟ เบเกอรี่ บลาๆๆๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือส่วนใหญ่ของเมืองเล็กๆ เมืองนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะเซ็งไปเล็กน้อย 

วันนี้เราไม่มีแผนอะไร นอกจากตื่นให้ทันข้าวฟรี(งกมาก)(อีกวงเล็บนะ อันนี้สำคัญ ที่ Khummany Inn เค้ามีอาหารเช้าให้บริการ ฟรี ตั้งแต่ 7 โมง ถึง 10 โมง เช้านะ แล้วอาหารนี่ไม่ใช่ไก่กาอาราเล่นะเธอ ทำมาน่ากินมาก ให้แบบไม่หวงของเลย ไม่มีมาเขียมจัดเต็มมาก เราไม่ได่ถ่ายรูปมานะ กินหมดก่อนค่อยนึกขึ้นได้ทุกที ฮ่าๆๆๆ) 

หลังจากนั้นจะไปไหนค่อยว่ากัน ชาวคณะก็โอเค แม้พวกมันจะอยากไปกินโจ๊กที่ร้านประชานิยมตรงมุมถนนริมโขงนู้นก็เถอะ 

หลังจากตื่นมาแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า(อย่าคิดว่าจะอาบน้ำ ฝันไปเถอะ) เราและชาวคณะก็ลงมาข้างล่าง ตรงที่เราเช็คอินกันไปด้วยความแล็คเมื่อคืนนี้ ตรงนี้จะมีโต๊ะไม้กับเก้าอี้ตั้งอยู่ มี TV สำหรับฉายหนังแน่นอนภาษาอังกฤษ เมื่อคืนเห็นมีฉายด้วยเรื่องนึง เรื่องอะไรนั้นอย่าถาม เราฟังไม่ออก ไอ้โต๊ะไม้นี่แหละ มันคือโต๊ะกินข้าวสำหรับแขกที่มาพัก และเช้านี่ก็เป็นครั้งแรก ที่ได้เห็นคนเอเชียใน Hostel นี้ นอกจากพวกเดียวกันเอง 

คนที่ทำอาหารให้เราเป็นชาวอะไรไม่แน่ใจ แต่หัวดำ เอเชียแน่ๆ เช้านี้ดี๊ดี แต่ก็นะ โต๊ะที่นั่งสำหรับกินข้าวเช้าเต็มไปด้วยฝรั่งหัวทอง ที่กระเซอะกระเซิง กำลังนั่งจกมื้อเช้าที่มี ไข่ดาว ออมเล็ต และขนมปังปิ้งเป็น อาทิ

เราและพรรคพวกเลือกขนมปังปิ้งกับไข่ดาว บ้างก็ออมเล็ต เราไม่ใช่คอกาแฟ แน่นอนเราดื่มชา เป็นชาลิปตันที่ต้มเสร็จเรียบร้อยแล้วในกา ยกมานั่งกินที่โต๊ะหน้าเกสเฮ้าส์ 4 คนกินกันไม่พูดไม่จา ป่าว ไม่ได้หิว แต่ขนมปังแข็งมว๊ากกก กัดไปเหลือบมอง The Brick ไป ( The Brick คือฉายาของกล้องฟิล์ม Argus C3 ที่หน้าตาและน้ำหนัก เหมือนถือก้อนอิฐอยู่อะไรประมาณนั้น)  แต่เอาวะ ของฟรีก็กินๆไปเหอะ หมดจานก็อิ่ม






หลังจากกินเสร็จแล้วเราตกลงกันว่าจะต้องไปร้านประชานิยมให้ได้(แม้ว่าจะอิ่มมากแล้วก็ตาม)เราเดินดูวัดวาอารามที่มีลักษณะคล้ายๆ กันหมด พอถึงร้านประชานิยม พี่โต๋ เพื่อนร่วมก๊วนเรา สั้งชาเย็นแก้วนึง อีก 3 คนที่เหลือก็กระดกน้ำชาร้านที่เจ้าของร้านยกกามาให้ ร้านนี้ได้ข่าวว่าคนไทยเยอะ อาหารค่อนข้างจะถูกปากคนไทย มีทั้งเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟโบราณ กาแฟลดน้ำหนัก หรือโจ๊ก และอะไรอีกไม่รู้ ยอมรับว่าไม่ได้กินอะไรนอกจาก น้ำชาที่เค้าให้กินฟรี ฮ่าๆๆๆๆๆ 






ร้านนี้หาไม่ยากป้ายเขียนชัดเจนว่า ร้านประชานิยม แต่ที่เห็นจะเป็นจุดเด่นของร้านนี้คงหนี้ไม่พ้นป้าเจ้าของร้าน ป้าแกจะเจ้าเนื้อหน่อย ทาปากเข้ากับสีเสื้อผ้าที่แกใส่ ที่สำคัญเลยแกใจดีมาก ขนาดกินเสร็จลืมจ่ายตังค์ป้าแกยังไม่ด่าเลย(แต่วิ่งเอากลับไปจ่ายให้ทีหลังนะ) 



หลังจากถลุงน้ำชาฟรีที่ร้านประชานิยมจนอืดท้องแล้ว เราก็เดินเลียบลัดเลาะตามริมโขงมาเรื่อยๆ ยามนี้ร้านค้าต่างๆ พร้อมให้บริการแล้ว เดินมาเรื่อยๆ จะเจอทางเดินเล็กๆ สำหรับลงไปนั่งเรือข้ามฟาก ข้ามไปยังอีกฝั่งนึงของแม่น้ำโขง เราเจอครอบครัวชาวเกาหลีพ่อแม่ลูกกำลังพยายามจะ เซลฟี้ กันอยู่ ท่าทางไม่ค่อยถนัด เนย จึงอาสาถ่ายรูปให้พวกเขา(ไม่รู้นางใจดีหรือเพราะลูกชายเค้าหล่อมากกก ฮ่าๆๆๆ) เขาก็เลยถ่ายรูปให้เราเป็นการตอบแทนเช่นกัน จากนั้นเราก็เดินกันต่อวันนี้กะจะไม่ทำอะไรนอกจากเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ 





ริมน้ำโขงมีหาดทรายกว้างพอสมควร มีคนมาปลูกผักไว้ เด็กๆ ลงมาเตะฟุตบอลได้บนหาดนี้ เราเดินเลาะมาจนถึงปากแม่น้ำคานซึ่งเป็นแม่น้ำสายเล็กๆ ที่เชื่อมต่อมาจากแม่น้ำโขง แถวๆ นี่จะมีสะพานไม้ไผ่ที่ช่าวบ้านสร้างขึ้นเอง ตรงนี้ใครจะข้ามต้องเสียตังค์นะคะ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ไหน เชื้อชาติอะไร ถ้าจะข้าม เสียตังค์หมด เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ข้าม ฮ่าๆๆๆ

เราเดินเรือยๆ มาจนถึงโค้งน้ำด้านเหนือสุด ก็พบว่า คุณพระ!! นี่มันสวนรถไฟบ้านเราชัดๆ แถมนะแถม คนไทยทั้งนั้นเลย ถ้าให้เดา ตรงนั้นน่าจะเป็นอีกหนึ่งมุมมหาชน สังเกตุได้จากความโปรของกล้องที่แต่ละท่านแบกกันมาแบบครบชุด 

ใกล้บ่าย 3 โมงเราเดินขึ้นพระธาตุพูสี ตรงนี้แนะนำว่า ให้ขึ้นทางด้านพิพิธพัณฑ์(ด้านหน้า)นะทางนั้นไม่ชันเท่าไหร่ แล้วลงอีกทางนึงคือทางด้านแม่น้ำคาน(ลงมาจะเจอร้านปิ้งย่างพอดี) แต่ถ้าใครสุขภาพดี ฟิตมากจะปีนขึ้นด้านหลังเลยก็ไม่ว่ากัน เอาตามที่สะดวก

ตรงทางขึ้นด้านพิพิธภัณฑ์ จะมีเด็กผู้ชายเกรียนๆ 2-3 คนมาขวางนักท่องเที่ยวเพื่อไถตังค์ค่าผ่านทาง จะบอกว่าถ้าจ่ายตรงนั้น พอขึ้นไปด้านบนต้องจ่ายอีกรอบนะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องให้เด็ก แต่ถ้าคุณรักเด็กจะให้ก็ได้ (แน่นอนเราไม่ให้อยู่แล้ว เราเกลียดเด็ก ฮ่าๆๆๆ)  

และที่พระธาตุพูสี เราก็ได้มาทดลองเป็นมนุษย์ป้า ตอนเดินขึ้นมาแม้จะไม่ชันมาก แต่ก็ขาลากกันหมดแล้ว หลังจากเดินสำรวจรอบๆ เราเจอที่ม้านั่งสำหรับพอดีเรา 4 คน พวกเราจึงนั่งกันตรงนั้น แล้วก็หยั่งรากเลยในทันที ประมาณว่าชีวิตนี้ฉันจะไม่ลุกไปไหนอีกแล้ว ถ้าปลูกบ้านตรงนี้ได้นะฉันปลูกไปแล้ว อะไรแบบนั้น พอเริ่มใกล้ค่ำ คนก็เริ่มเดินขึ้นมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ คนไทยก็เยอะ ความหน้าด้านของพวกเราก็เริ่มถูกกัดกร่อน จนเกือบจะยอมแพ้แล้ว มีไอเดียนึงผุดขึ้นมา

“เฮ๊ยยย เราต้องไม่พูดภาษาไทยนะ เดี๋ยวคนรู้ว่าเรามาจากไทย”

ตอนนั้นก็ถือเป็นความคิดที่เกรียนมาก แต่พวกเราก็ทำกันค่ะ โดยการพูดภาษาอะไรไม่รู้ คือไม่ใช่ภาษาคนอ่ะ เดาว่าคนที่พูดมันก็ไม่น่าจะรู้หมือนกันว่ามันพูดอะไร
ก็ไม่รู้ว่า ป่านนี้ จะมีใครพูดถึงเราในพันทิปกันบ้างหรือยัง 4 มนุษย์ป้าเลเวล 50 !!!

กราบขออภัยทุกๆ ท่านมา ณ ที่นี้ด้วย ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ  _/\_

เรานั่งกันอยู่ตรงนั้นอีกไม่นาน เริ่มทนแรงกดดันไม่ไหว(คือไม่ได้มีใครมาด่าว่าอะไรหรอก แต่แบบเฮ๊ยยย ไปเหอะ กูอายเค้าว่ะ _ _!) ก็เดินลงมาทางด้านหลังพระธาตุพูสี ทางนี้ถ้าลงมืดๆ อย่าลืมพกไฟฉาย ลงอย่างใจเย็นนะคะ ไม่งั้นอาจจะหัวทิ่มเอาได้ มันชันมาก ร้านปิ้งย่าง คือจุดหมายต่อไปของเราค่ะ 

ด้านหลังพระธาตุพูสี จะมีร้านปิ้งย่างร้านนึง อาหารที่ขายก็จะเป็นลูกชิ้น ใส้กรอก ผักต่างๆ เสียบไม่ย่าง  รสชาติจัดว่าเด็ด วัยรุ่นที่นั้นนิยมกันมาก บ้างมาคนเดียว บ้างมาเป็นคู่ บ้างมากันเป็นกลุ่ม ราคาไม้ละ 2,000  - 4,000 LAK  เวลาจะกินถามคนขายก่อนนะ ซึ่งราคานี้เราถือว่าไม่แพง ยาจกอย่างเรากินได้สบาย มื้อนี้เราโดนกันไปคนละ 10,000 LAK ถือว่าถูกมาก  แล้วมันก็เพียงพอที่จะทำให้อิ่มได้ซัก 2 ชั่วโมง ใช่แล้ว นี่เราแค่รองท้องกัน ฮ่าๆๆๆ 

ต่อจากตรงนี้เป็นโซนของผับ บาร์ ร้านอาหารชื่อดังของที่นี่ โจมา ร้านกาแฟชื่อดังก็อยู่ที่นี่เช่นกัน เหตุที่มันดัง และเป็นที่นิยมมากกว่าร้านอื่น(สามารถพบได้หลายที่ทั้งในหลวงพระบาง และเวียงจันทน์) ก็เพราะว่ากันว่าคุณภาพ และราคามันพอๆ กับกาแฟสตาบัคเลยน่ะสิ(อันนี้เราไม่รู้ ไม่ใช่คอกาแฟ กินกาแฟอะไรรสชาติมันก็เหมือนกันหมด _ _!) เรื่องราคา อย่าถามเรา เราไม่นิยม ฮ่าๆๆๆ

อย่างที่บอก ย่านนี้ผับเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Hive bar ร้านที่ติดอันดับในหนังสือ Lonely planet ไปเรียบร้อยแล้ว หรือ Utopia ผับชื่อดังที่มีสอนโยคะด้วย เก๋ๆ ก็อยู่ที่นี่ ตรงนี้เป็นย่านที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก ซึ่งไกลลล… จากที่ที่เราพักมาก โซนนี้ดูคล้ายปารีสมาก เพื่อนบอก แต่เราว่าก็เฉยๆ นะ  เราว่ามันมีอารมณ์คล้ายๆ ตลาดดอยแม่สลองบ้านเรานี่แหละ ไม่รู้ว่าตอนนี้กับตอนที่ไปครั้งล่าสุด(3 ปีที่แล้ว) จะยังเหมือนกันหรือป่าวนะ

 
เราเดินกลับมาที่พักอาบน้ำอาบท่า และพบว่าเราได้เพื่อนใหม่ 'โซ่' เป็นหนุ่มอุดร อัธยาศัยน่ารัก อายุน่าจะใกล้เคียงกับเรา เพิ่งเป็นนักเดินทางระดับเริ่มต้นเหมือนกันกับเรา พวกเรากับโซ่ คุยกันค่อนข้างถูกคอ ก็แน่ล่ะ นานๆ จะได้เจอคนไทย ฮ่าๆๆๆ นอกจากนี้เรายังได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่อีกคนที่นอนชั้นล่าง เตียงเดียวกับเรา 'ฌอง' (จริงๆ เค้าก็บอกชื่อเต็มนะ แต่จำได้แค่นี้) เป็นกราฟฟิคดีไซเนอร์ ลุงแกมีบล็อกของแกด้วย เอาไว้เล่าเรื่องราวหารเดินทางของแก ลุงฌองใช้ชีวิตอยู่ในมอนทรีออล ประเทศแคนาดา ในเมืองที่ใครๆ ก็พูดภาษาฝรั่งเศส ลุงแกดูรักสัตว์มาก ที่บ้านมีแมวตั้ง 7 ตัวแน่ะ (ข้อมูลนี้แอบฟังเพื่อนคุยกับลุงฌองหรอกนะ ใช่ว่าคุยกันเอง ฮ่าๆๆๆ)

มื้อเย็นของเราวันนี้ เราและชาวคณะ รวมไปถึงเพื่อนใหม่อีก 2 คนคือบุฟเฟ่ร้านเดิมที่เรากินกันเมื่อวาน วันนี้ป้าแกก็ลดราคาให้อีก เยี่ยมจริงๆ พวกเราได้พูดคุยกับป้าเล็กน้อย พอรู้ถึงสารทุกข์สุขดิบของป้า ป้าว่าลูกป้าโตกันหมด จนมีหลานแล้ว ลูกป้าบอกป้าให้อยู่บ้าน แต่ป้าอยากมาขายของมากกว่า ได้เห็นผู้คนแล้วมันสนุกดี
ก็จริงของป้า ความวุ่นวายของผู้คน บางครั้งมันก็ทำให้เรามีชีวิตชีวาขึ้นได้ แค่นั่งมอง และมีส่วนร่วมกับมันนิดหน่อย...










You Might Also Like

0 ความคิดเห็น