สะบายดีหลวงพระบาง ตอนที่ 1

4:36 หลังเที่ยง



ทันทีที่ฤดูหนาวเริ่มขึ้นเทศกาลหนีออกจากกรุงเทพฯ ของเราและชาวคณะ รวม 4 ชีวิต ก็ได้เริ่มขึ้น ปีนี้เราลงมติกันว่าจะไปย่ำหลวงพระบาง เมืองมรดกโลก ของประเทศเพื่อนบ้านเรากันซักครั้ง ฤกษ์งามยามดีคือ 27 - 31 ธันวาคม แต่ด้วยความที่เรา และชาวคณะ นั้นอยู่กันคนละภาคของประเทศไทย

การเดินทางครั้งนี้จึง แยกกันไป แล้วไปเจอกันที่ หลวงพระบางเลย โดยชาวคณะออกเดินทางก่อนเรา 12 ชั่วโมง โดยนั้งรถทัวร์จากอุดร ไปเวียงจันทน์ แล้วต่อรถไปหลวงพระบางอีกที  ส่วนเรา นั้งรถไฟไป กะว่าจะนั้งไปให้ถึงเวียงจันทร์เลย แต่เกิดผิดพลาดด้านเวลาเล็กน้อย เลยได้นั้งไปแค่หนองคายเท่านั้น พอข้ามไปฝั่งเวียงจันทน์ ก็นั้งรถต่อไปหลวงพระบางอีกที

เส้นทางที่เราไปจากเวียงจันทร์ไปหลวงพระบางก็ดันมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อรถบัส VIP สาย นครหลวงเวียงจันทน์ - หลวงพระบาง ที่เรานั้งไปนั้นดันเกิดอารมณ์ชิวอะไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ วิ่งช้ากว่าปกติจนคนลาวที่นั้งมาด้วยกัน บ่นกันลั่น แถมจอดถี่ยิบ แถมเส้นทางนี่ขึ้นเขาลงเนิน เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เดี๋ยวหักศอก เดี๋ยวตีเข่า ระหว่างทางจะเป็นหน้าผา หุบเหว เทือกเขาสลับซับซ้อนปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยๆ


ทำให้เราไปถึงช้ากว่าปกติ (โดยปกติแล้วรถสายนี้ จะวิ่งประมาณ 10 ชั่วโมง แต่เรานั้งกันไป 13 ชั่วโมงนิดๆ แถมพี่แกขายตั๋วเกินให้นักท่องเที่ยวคนไทยแต่ไม่ใช่คณะเรา มาใบนึงด้วย สอบถามได้ความว่า พี่แกเลยได้นั้งไปกับคนขับนั้นเอง)

พอเข้าใกล้หลวงพระบางเราจะเจอหมู่บ้านชาวเขาประมาณ 3-4 หมู่บ้าน ก่อนถึงเชียงเงิน เราเจอเพือนร่วมทางชาวลาวคนหนึ่ง ชื่อเพชร มาทำงานที่สมุทรสาครนี่แหละ อยู่แถวๆ มหาชัย เพชรบอกว่า ถ้าถึงเชียงเงินเมื่อไหร่ อีกไม่นานก็หลวงพระบางแล้ว เชียงเงินเป็นด่านสุดท้าย เราก็เลยถามอยู่หลายครั้ง ถึงเชียงเงินหรือยังๆๆๆ

รวมเวลาตั้งแต่ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ - หลวงพระบางก็ 25 ชั่วโมงโดยประมาณแบบ non stop  โคตรทรหดอดทน

ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 2 ทุ่มเบาๆ พอลงจากรถได้เราก็หาทางไป Khummany Inn ที่พักที่เราได้จองมาจากเว็บ Booking.com ซึ่งเราได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าเราจะไปถึงช้า อาจจะเช็คอินไม่ทัน เลยส่งชาวคณะมาเช็คอินก่อน เราเหมาสามล้อจากขนส่งมาที่พักโดนกันไป 20,000 LAK




ภาพจาก booking.com

พอมาถึงที่พัก เราไม่รอช้ารีบสอดส่องสายตาเค้าไปด้านในเพราะเหมือนมีลางสังหรว่าจะต้องเจอเรื่องช็อกโลกที่นี่แน่ๆ เพราะ

เรื่องแรก เราข้ามฝั่งมาแล้ว เราติดต่อเพื่อนที่ส่งมาเช็คอินก่อนไม่ได้(ตื่นเต้นเล็กน้อย) แต่ก็คิดว่ามันน่าจะถึงที่พักแล้ว เราก็เลยตรงดิ่งมาเลย
เรื่องที่ 2 ที่พักเราที่ดูมาในเว็บ ค้นข้อมูลมาแบบแน่นมาก พบว่าชื่อที่พักเรามี เป็นแบบ Hostel และแบบ Guest House ซึ่งจากแผนที่ มันอยู่กันคนละที่ ไม่รู้เจ้าเดียวกันหรือป่าวด้วย แล้วกรูจะเข้าถูกที่มั๊ย


แต่ทั้งหมดที่เราคิด มันไม่เกิดขึ้นเลย แต่ที่เกิด มันช็อคมากกว่าที่คิดมา นั่นคือ


Reception ที่นี่เป็นฝรั่ง!!!!


คือมีหลายคนมาก ทั้งผู้หญิง และผู้ชาย รวมไปถึงแขกที่มาพัก ก็


มีแต่ฝรั่ง!!!


มองอยู่นานชะโงกซ้ายทีขวาที พยายามมองหาเพื่อนที่มาถึงก่อน เผื่อว่ามันจะนั้งปนๆ อยู่กับฝรั่ง ก็ไร้วี่แวว และเราเองก็อยากจะบอกเลยว่า คะแนนวิชาภาษาไทยนั้น เกรด 4 ตลอดเลยค่ะ ซึ่ง....มันไม่ได้ช่วยอะไรในเหตุการณ์ตรงหน้านี้เลยแม้แต่น้อย แล้วก็เริ่มถามตัวเองในใจ


ใครมันเลือกที่พักวะ หืมมมมมมม เลือกได้ดี เลือกได้น่ารักมากกกก


แล้วก็ยืนหน้าซีดอยู่ตรงนั้น เป้ก็หนัก เรื่องความหิวนั้นไม่ต้องถาม ถ้ามีช้างตายตรงหน้าก็คงจะย่างกินได้ทั้งตัวแล้ว ไอ้มนุษย์แฟนที่มาด้วยก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย


โอ๊ยยย พี่ไม่ไหวนะ นู๋จัดการเลย


ดู๊ ดูมันพูดเด๊!!!!!!!


ขณะที่กำลังพระศุกร์เข้าอยู่นั้น พระเสาร์ก็เข้าแทรกทันที


“Hello @#$()&$#%)”


Reception นางนึงก็เปิดประตูยื่นหน้ามาทักทายเรากับมนุษย์แฟน ที่กำลังจะฆ่ากันเองอยู่ข้างนอก


Shipหายละ!!!


“Hello” แล้วก็เดินอุ่มกระเป๋าขนาดเท่าลูกควายเดินยิ้มแหย๋ๆ เข้าไปตามที่นางทำท่าเชื้อเชิญ  อิมนุษย์แฟนก็ตามมาเงียบๆ ไม่มีปากเสียงใดๆ ใช่ซี๊...พระเสาร์มันเข้าแทรกกูแล้วนี่(เสียงสูงแล้วยาวมากกกกกก)


“เอิ่มมมม I’m  booking here from  booking dot com”   อย่าลืมรอยยิ้มพิมพ์ใจ
เราพยายามจะบอก Reception ว่า เฮ๊ยยแก เราอ่ะ  book ที่พักที่นี่มาจากเว็บ booking.com นะ
“Oh, well. Umm… !@$(#$(#%$&)#(%^T*&) vet @(#$& Dorm $%_*#_”


Shipหาย ยาวเลยทีนี้ มีอะไร vetๆ กะ Dorm  ด้วยวะ


“อ๋อ Dorm”


“ok, what’s your name?”


แสดงว่าเมื่อกี้เราตอบคำถามนางได้อย่างถูกต้อง ^_^


“I’m Jah


 Jah?


นางก็ไล่ๆ หาดูในบัญชีหนังหมา(คล้ายๆ สมุดตอนเรียนวิชาบัญชี สภาพเหมือนผ่านมา 18 ฝน 18 หนาว)


ปรากฏว่า ไม่มี!!!


ก็จะไปมีได้ไง มันถูกจองในชื่อเพื่อนเราที่ ส่งมาเช็คอินก่อนหน้านี้


“เอิ่มมมมมมมม จะบอกไงดีวะ My friend check in here  before  ...”


“Oh, Name of your friend is?”


เราก็บอกชื่อเพื่อนไป ไม่นานก็เจอ แต่ดูไปดูมา อ่าวไม่ใช่นี่หว่า ดันชื่อเหมือนกัน หาอีกๆๆ ใจนี่หล่นฮวบไปกองตรงไหนไม่รู้แล้ว  หรือมันจะไม่ได้มาที่นี่วะ
แต่แล้วก็ เจอ ชื่อเพื่อนจนได้ คราวนี้ใช่ มีชื่อเพื่อนเรา 4 ที่มีเครื่องหมายถูกไปแล้ว 2 อีก 2 คือ เรากับมนุษย์แฟน เกือบจะ แฮบปี้เอ็นดิ้ง


“2#%$#_%(_$#*@$^%$#^@#$%@% money @#%)@*#$ your friend #$*@


คราวนี้อะไรล่ะ มี money ด้วย มี your friend ด้วย  เอ๊ะ หรือมันไม่ได้จ่ายให้เรา   Reception ที่นี่ก็พยายามอธิบายว่า ยูไม่ต้องจ่ายตังค์แล้ว เพื่อนยูจ่ายไปหมดแล้วนะ ตามฉันมาเลย ฉันจะพายูไปนอนดูยูจะรั่วมากเลยนะ (อันหลังเติมเอง)


แล้วนางก็พูดอะไรอีกไม่รู้ จับได้แค่ 7 - 10 โมง เราก็อ๋อ ๆ ok ๆ แล้วแบกเป้ขนาดเท่าลูกควายก็เดินตามนางไป


พบว่าเพื่อนเรากำลังนั้งต่อ wifi อยู่พยายามติดต่อเรา โหยยยยย ดีใจเหมือนเจอญาติที่พลัดพรากกันไปเป็นสิบๆ ปี Reception ฝรั่งนางนั้น ก็พาเรามาส่งถึงเตียงของเรา  บอกว่า 2 เตียงนี้ของยูนะ ยูนอนแยกกันได้มั๊ย  เราก็เออๆ ได้ๆ อะไรก็ได้ตอนนั้น กรูขอจบประสบการณ์นี้ ตรงนี้เลยเถอะ okๆ yesๆ ได้ทุกอย่าง กรูจะไปหาอะไรถ่วงท้องละ ขอบใจ แต๊งกิ้ว โอเคๆ


แล้วนางก็เดินจากไป เราก็จัดการเก็บกระเป่าแล้ว ก็รีบออกไปหาของกิน เพื่อนเราเรียบร้อยแล้ว เราเลยไปกับแฟน 2 คน


เราสืบทราบมาว่า ที่นี่มีบุฟเฟ่ต์ขายแบบ ราคาเดียว ชามเดียว ตักเยอะเท่าไหร่ก็ได้ นักท่องเที่ยวนิยมมาก ทั้งไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น เพราะมันตักเท่าไหร่ก็ได้นี่แหละ ดีขนาดนี้ แน่นอนเราก็ต้องนิยมด้วย แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่ามันหน้าตายังไง รสชาติขนาดไหนก็ตาม


เราเดินไปใน Night market แล้วก็แวะเข้าซอยที่เป็นเหมือนตลาดสด คือ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพิกัดร้านที่เราหามาในเน็ตมันอยู่ตรงไหน ตอนนี้ อะไรก็ได้แล้ว คิดว่าเดินเข้าตลาดสดน่าจะเจอของอะไรถูกๆ ให้กินบ้างละวะ ก็เลยแวะเข้าไป ปรากฏว่า ในนั้นมีร้านบุฟเฟ่ต์ที่ว่าอยู่เต็มเลย


ภาพจาก Facebook Noey Panchida

ลักษณะเป็นแบบโต๊ะยาวๆ มีอาหารหลายอย่างมาก ส่วนใหญ่เป็นพวกเส้น มีทั้งเส้นเฝอ เส้นมาม่า เส้นอะไรไม่รู้เหมือนเส้นในข้าวซอย และอีกหลายเส้น บางร้านจะมีข้าวผัดด้วย มีผัดผัก มีของชุบแป้งทอด และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ้งอาหารทั้งหมดปรุงสุกแล้วใส่ถาดอลูมิเนียมบางร้านก็สี่เหลี่ยม บางร้านก็กลมๆ เหมือนร้านขายข้าวราดแกงตรงท่าช้างใกล้ๆ ศิลปากรอ่ะ แบบนั้นเลย แบบหลายร้านมาก ราคาก็เท่าๆ กัน  คนก็โคตรเยอะ สงสัยอร่อยมาก แต่มีร้านนึง เรียกว่าแทบจะไม่มีคนเลย เอาวะ ร้านนี้แหละ ขี้เกียจไปแย้งชิง ตบตีกับลูกค้าฝรั่งร้านอื่น

ป้าแกก็ส่งชามพลาสติกสีฟ้าๆ  มาให้ใบนึง แล้วก็อธิบายว่า จะตักเท่าไหร่ก็ได้นะ แต่ตักได้รอบเดียว เสร็จแล้วส่งมาเดี๋ยวป้าอุ่นให้


หืมมมม ตักได้รอบเดียวเหรอ หุยยยย เซ็งเลอะ
แต่ตักเท่าไหร่ก็ได้ช่ายมะ งั้นนู๋ไม่เกรงใจละนะป้า ^_^


แล้วเราก็ต่างคนต่างตักกันไม่พูดไม่จา อันไหนที่คิดว่ากินได้ก็ตักมาเยอะๆ หน่อย อันไหนแปลกๆ ก็ไม่ตัก ถ้าบางอย่างมันหน้าตาประหลาดมาก ก็มีถามป้าคนขายบ้างว่านี่คืออะไร พอได้คำตอบแล้วก็ตักต่อ


เราก็ตักจนหนำใจ แต่ก็ยังน้อยกว่า อิฝรั่งที่เดินมาตักพร้อมเรา เราส่งให้ป้าไปอุ่นแล้วไปนั้งรอ เอาเผ็ดมาก เผ็ดน้อยบอกป้าได้


ไม่นานชามอาหารก็มาวางอยู่ตรงหน้า เราสั่งเบียร์ลาวมากินด้วย 2 คนกินด้วยกัน กระป๋องเดียว นั้งรถมานานเดี๋ยว อ้วกแตกขึ้นมาจะลำบากกันเอง


รสชาติอาหารถือว่าโอเคเลย เหมือนบาบีคิว แต่น้ำมันนี่เจิ่งนองมาก ไม่เป็นไร วันนี้นู๋ไม่คลีนก็ได้ป้า เราก็กินกันเหมือนตายอดตายอยากมาหลายวัน มื้อนั้นโดนไป 2 คน 42,000  LAK  แต่ป้าแกลดให้ เหลือ 30,000เหมือนได้เบียร์ฟรี กระป๋องนึงเลย รักป้าจุง ^___^


กินเสร็จเรากลับมาที่พักเพื่ออาบน้ำอาบนอน อากาศเย็นเล็กน้อย ไม่ถึงกับหนาว เราเตรียมเสื้อผ้าไปอาบน้ำพอถึงห้องน้ำเท่านั้นแหละ เรานี่ถึงกับอึ้งไปเลย!!!


ป่าว เราไม่ได้เห็นผู้ชายแก้ผ้านะอย่าเข้าใจผิด


แต่ห้องน้ำที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นกระจก ฝักบัว ชั้นวางของ ราวแขวนผ้าเช็ดตัว ทุกอย่างอยู่สูงประมาณเลยหัวเราขึ้นไปอีก กระจกนี่สูงลิบเลย เดินถอยหลังมาติดประตูก็ยังต้องเขย่งเท้าเพื่อจะส่งกระจก เวลาจะหยิบฝักบัวมาอาบน้ำต้องใช้เทคนิคพิเศษ เพื่อสอยมันลงมา เครื่องทำน้ำอุ่น อีก เอื้อมไปเกือบสุดแขนเวลาที่จะปรับอุณหภูมิน้ำ นี่มัน ห้องน้ำไซต์ยุโรปสินะ O.O”  


คือเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคนที่สูงน้อยกว่ามาตรฐาน มันเป็นอย่างงี้นี่เอง


กลับมาที่เตียง ห้องที่เราพัก เป็นเตียงเหล็ก 2 ชั้น ในห้องมีทั้งหมด 8 เตียง เรานอนเตียงบน ส่วนชั้นล่างมีฝรั่งผู้ชายตัวเหม็นๆ นอนอยู่ (ทราบภายหลังว่า ชื่อ ลุงชอง และแกก็มาเป็นเพื่อนเราในตอนหลัง)

ภาพจาก booking.com
ภาพจาก booking.com

ครอบครัวเรามี 2 คนพี่น้อง สมัยเด็กๆ ใฝ่ฝันอยากให้เตี่ยซื้อเตียง 2 ชั้นมาไว้ที่บ้านมาก อยากนอนเตียง 2 ชั้น  และนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้นอนเตียง 2 ชั้น  

วินาทีที่ปีนขึ้นเตียงนั่นโคตรตื่นเต้น ตื่นเต้นว่าเตียงแมร่งจะโค่นลงมาป่าววะ เฮ๊ยยย  แบบว่ามันเป็นโครงเหล็กที่ค่อนข้างอ้อนแอ้น ปีนขึ้นทีนี่เหมือนโลกเอียงไปข้างนึง เราหยุด แล้วหันไปมองฝรั่งเตียงที่อยู่ตรงข้าม แมร่งปีนขึ้นสบายเลยอ่ะ ไม่เสียวมันหล่นเหรอวะแกรรรรรรร T_T


พอขึ้นมาได้แล้วเตียงมีที่กั้นกันคนตกเตียง 2 ฝั่งเลย เป็นโครงเหล็กที่แบบว่าถ้าฝรั่งตัวยาวๆ นอน มันก็พอจะช่วยได้อ่ะนะ แต่นี่เราคนเอเชีย แถมตัวสั้นไง แม้ว่าเตียงมันจะไซต์เอเชีย แต่ตำแหน่งของที่กั้นมันไม่ใช้ไง คือถ้านอนหันผิดทาง นี่เอาหัวโหม่งลงข้างเตียงได้สบายๆ เลยอ่ะ และที่ความสูงระดับนี้(ประมาณ 2 เมตร) เตียงมันดูแคบเกินไป คือกรูจะกลิ้งลงไปมั๊ย ไหนจะเอาข้าวของวางอีก(คือจริงๆ เค้าเอาไว้ใต้เตียง ไม่ก็ใส่ล็อคเกอร์ แต่เรางกไง ไม่ยอมซื้อกุญแจล็อคเกอร์ เลยเอาไว้บนเตียงที่เรานอนด้วยนั่นแหละ )

เราวางเป้ลูกควาย ตากผ้าเช็คตัว ห้อยกางเกงที่ใส่แล้วไว้ปลายเตียง  ห้อยเสื้อที่ใส่แล้วไว้ขวามือ ซ้ายมือปล่อยว่างไว้ กะจะเม้ามอยกะเพื่อนแต่มันก็ดันหลับ ข้างหมอนซ้ายขวา มีน้ำเปล่าขวดนึง สมุดบันทึก + ดินสอ กล้องฟิล์มตัวนึงที่รักและหวงมาก 555 ผลปรากฏว่ายังไม่ทันจะล้มตัวนอนเลยค่ะ เสียงดัง 

ตุ๊บ!!!

Shipหาย ละ กล้องหล่นแน่เลย หันไปดู ไม่ใช่ ปรากฏว่าเป็นขวดน้ำ พี่อีกคนที่ไปด้วย(คณะเดียวกัน) เลยเก็บขึ้นมาให้ด้วยความปลอดภัย  ดีนะลุงชองแกไม่อยู่ (ดีนะไม่หล่นใส่หัวใคร) โอ๊ยยยย แล้วกว่าจะสว่างนี่อะไรจะหล่นอีกวะเนี่ย

จบวันแรกที่มาถึงด้วยการนอนตัวแข็งอยู่บนเตียงลุ้นว่าอะไรจะหล่นอีก...



You Might Also Like

0 ความคิดเห็น