สวัสดีบางกอก & รถเมล์ครั้งแรก

1:13 หลังเที่ยง

                    

                   สวัสดี ใครก็ตามที่หลงเข้ามาอ่านบทความนี้ ไม่ว่าจะผีผลัก หรือตั้งใจมาก็ตาม เราจะขอแนะนำตัวซักเล็กน้อย ไม่กี่บรรทัด แต่ถ้า ไม่อยากรู้จัก จะข้ามไปก็ได้ เราไม่โกรธ แต่น้อยใจเล็กน้อยเราชื่อ จ๋า เราเป็นผู้หญิง ที่หน้าหมวย สวยแปลก อัธยาศัยดี บางทีก็อาจจะดีเกินไป แว๊บแรกจะดูแปลกๆ มองไปมองมาเริ่มน่ารัก แต่ถ้ามองไปอีกซักพักจะเริ่มน่าถีบ คนคิดว่า บ้า แต่จริงๆ ไม่ แค่เฮฮามากไปหน่อย เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด แต่ไปเติบโตอยู่ที่สุโขทัย ก่อนจะย้ายกลับเข้ากรุงเทพฯ อีกครั้งตอนจบม.6 เพื่อมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังย่านฝั่งธนฯ ที่มีแต่คนหน้าตาดีเรียนกัน เอาล่ะ รู้จักเราแล้วนะ จบ.
                    จากเด็กที่อยู่กับทุ่งนา ถนน 4 เลนส์ นี่ถือว่า กว้างมากแล้วที่เคยเห็น ร้านหนังสือคืออะไรไม่รู้จัก มีแต่หนังสือเก่าๆ ของแม่สมัยที่มาเป็น Bangkoker ซึ่งก็กรอบจนเกรงใจที่จะเปิดอ่าน แถมสมัยเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว อินเตอร์เน็ตมันไม่ได้ซอกซอนชอนไช เป็นไส้เดือนขนาดนี้ด้วย ยิ่งแล้วใหญ่ การคมนาคมก็ไม่สะดวก จะออกไปไหนที ต้องทำเรื่องขออนุญาติคุณนายแม่ขอยืมใช้รถ 2 ชั่วโมงนะคะ ระดับความโหดเทียบเท่า ขอวีซ่าไปอเมริกา เพราะฉะนั้นมันไม่ง่ายเลยที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร อะไรต่อมิอะไรได้
ตอนที่มากรุงเทพฯ ใหม่ๆ ตอนนั้นจึงนับเป็นความตื่นตาตื่นใจครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต แบบโอ้โห โคตรเปิดโลกทัศน์มาก ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน ยวดยานพาหานะ ผู้คน สิ่งแวดล้อมรอบตัวดูน่าสนใจไปหมด เมืองหลวงมัน ชิค อย่างงี้นี่เอง แต่ที่ตื่นเต้นสุดต้องนี้เลย
ขึ้นรถเมล์ครั้งแรก ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่นั้งรถเมล์เข้าเมือง (จริงๆ เราพักที่บ้าน แถวปริมณฑล) เพื่อไปเรียน แค่ครั้งแรก First Impression ก็พุ่งเข้าชนจนจุกกันเลยทีเดียว
เข้าวันอังคาร เราก็ตื่นมาตั้งแต่ตี 5 เพราะตั้งนาฬิกาปลุกผิด พอกดปิดเสียงก็คลุมโปงหลับต่อ...
//ผิด
                     เรานั้งรถสาย 81 สาย 5 - ปิ่นเกล้า เป็นรถพัดลม เนื่องจากบ้านเรามันอยู่ใกล้ๆ อู่ 81 พอดี เลยเดินไปขึ้นที่อู่เลยได้ ขาขึ้นนี่ ไม่มีอะไรค่ะ ปกติราบเรียบดี ไม่มีสะดุด แต่ระหว่างทางนี่สิเด็ดดวงพวงมะเขือมาก
                      เวลา 8 โมงครึ่ง รถเมล์มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ อย่างรวดเร็ว ไม่นาน รถเมล์สีน้ำเงินครีม คันใหญ่เข้าไปปะปน กับรถอื่นๆ บนถนนอีกหลายร้อยคัน แต่พี่แกก็ไม่ซี แต่อย่างไร ยังคงเร่งทำความเร็วเท่าเดิม บางช่วงเร็วกว่าเดิม จากรถเมล์หน้าตาบ้านๆ กลายเป็นฟอมูล่าวัน ไปโดยปริยาย แม้พี่คนขับแกจะใส่หน้ายักษ์ตั้งแต่เช้า แต่จริงๆ พี่แกไม่ได้โมโหใคร เจอเพื่อน รถเมล์ด้วยกัน พี่แกก็ทักเฮฮาปาจิงโกะ อารมณ์เหมือนทักเพื่อนที่เดินผ่านมาหน้าบ้าน พี่กระเป๋าก็ไม่น้อยหน้า บางคราก็ส่งของให้กัน แม้รถจะยังเคลื่อนที่อยู่ พี่แกส่งได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น กุญแจบ้าน ขนม โค๊ก เป็บซี่ บะหมี่ มะเขือ บางที พี่แกก็ส่งนิ้วกลางให้กัน (เริ่มมาคุแล้ว) ซะเฉยเลย
                     ต้องถือว่าสกิล เหล่านี้ของพี่ๆ แกนี่เทพมากจริงๆ ไม่มีมาเก้ๆ กังๆ แต่ละคนเหมือนผ่านการฝึก ผ่านการซ้อมกันมาหลายรอบมาก คือจังหวะแป๊ะมาก ไม่แน่ The Fast & Furious ภาคต่อไปนี่อาจจะได้เห็นพี่แก ร่วมแสดงอยู่ด้วยก็ได้ เพราะดูสกิลแต่ละคนแล้ว บางทีพี่ดอม อาจจะต้องซูฮกให้เลยทีเดียว...
                      ช่วงเป็นนักศึกษา สำหรับเราแล้วกระโปรงพลีท รองเท้าผ้าใบ เป็นอะไรที่ชอบมาก มันสบาย มันสะดวก ปลอดภัยไม่โป๊ แต่แล้ววันที่ อินังกระโปรงพลีทมันเกิดทรยศเอา ก็มาถึงจนได้ 
เช้าวันอะไรซักวันที่แดดตอน 9 โมงร้อนระอุทะลุทุกตารางนิ้ว วันนั้นเรามีเรียนตอน 9 โมง แถมออกจากบ้านตอน 9 โมง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า สายแน่นอน ฉะนั้นภาระกิจแรกคือวิ่งไล่กวดรถเมล์เที่ยว 9 โมงให้ทัน ผลลัพธ์คือทันค่ะ  แต่หวุดหวิดมาก พี่คนขับรถนี่ดริฟฝุ่นตลบ เราก็วิ่งกระหืดหระหอบมาตรงประตูทางขึ้น ก้าวขึ้นรถเมล์ ขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 พรวดดดดด...
                      เท้าเจ้ากรรมดันรีบไปหน่อย เหยียบกระโปรงด้านหน้า เข้าเต็มฝ่าเท้า แล้วไอ้ความที่กระโปรงมันเป็นยางยืด พอข้างชายกระโปรงโดนเหยียบ ข้างบนมันก็เลยย้วยตามลงมา สัญชาตญาณบอกว่า ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่าง นู๋ได้แก้ผ้าบนรถเมล์แน่นอนค่ะ แต่ด้วยความรีบ สงสัยสัญชาตญาณมันประมวลผลไม่ทัน แทนที่จะยกเท้าที่เหยียบชายกระโปรง กลัยกลายเป็นโน้มตัวลงตามแรงย้วยของกระโปรงพลีทซะงั้น 
                     ตัดมาภาพสุดท้าย เราคุกเข่าหน้าคว้ำ หัวไปมุดอยู่ในซอกเบาะฝั่งตรงข้าม แถมกระโปรงด้านหลังเปิดอีก  
#อนาถสัสๆ _ _!
x



You Might Also Like

0 ความคิดเห็น