จากอ่าวมะนาว ถึงเขาล้อมหมวก งบน้อย 500 บาท ขาดตัว!!! (ภาค 2 )
6:15 หลังเที่ยง
เช้าวันที่ 2 ของทริป
เริ่มตันขึ้น วันนี้ จะเป็นวันที่เรา จะไปขึ้นเขาล้อมหมวกกัน แผนวันนี้คือ
ไปหาของกินกันก่อน จากนั้นค่อยว่ากัน
(ไม่ต้องเรียกว่าแผนก็ได้มั๊ง _ _! )
เราเลือกร้านที่อยู่ใกล้ที่สุด
ตรงข้ามโรงแรมนี่แหละ เดินข้ามถนนไปเลย ถึงเลย เป็นร้านก๋วยเตี๋ยว
ตัวร้านเป็นตึกแถว 2 ชั้นชื่อร้านอะไรไม่ได้จำ (จริงๆ คงไม่ได้มองด้วยแหละ มองแต่ของกิน)
ก็งี้แหละ นักท่องเที่ยวชั้นเลว ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ
เราไปถึง เขายังจัดร้านไม่เสร็จ พวกเรายืนเก้ๆ
กังๆ กันอยู่แป๊บนึง เราเลยเดินไปถามว่าเปิดหรือยัง ขืนรอพวกมัน ยืนตรัสรู้ด้วย
ญานของตัวเองอยู่ วันนี้คงจะไม่ได้กิน พี่ที่จัดของอยู่ลังเลนิดหน่อย แล้วตอบว่า
เปิดแล้วค่ะ
โอเค ไปนั่งเลยค่ะพวกเมิง
เราสั่งกันคนละชาม คนอื่นสั่งเย็นตาโฟรกัน 3
คน
เราไม่ชอบเย็นตาโฟ เลยสั่งต้มยำแทน พอก๋วยเตี๋ยวมาเสริฟ เรารู้สึกเสียใจมาก
ที่ไม่ได้สั่งเย็นตาโฟ เพราะเครื่องเยอะมากกกกกกกกก
น่ากินกว่าต้มยำของเราเป็นล้านเท่า
เราปรึกษากันว่า จะไปเขาล้อมหมวกยังไงดี
ถ้านั่งรถสามล้อไปก็เที่ยวละ 200 บาท ถ้าเช่ามอไซต์ ก็ 200 ต่อคัน ต่อวัน
ไม่รู้ไปเช่าตรงไหนด้วย งั้นสรุปเลย
เดินไป!!
หลังจากจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวเรียบร้อย
คณะเดินทางของเรา( 4 คน พูดเหมือนมีซัก 10 คน ) ก็เดินลัดเลาะริมหาดเรื่อยไปจน
ถึงรั้วด้านหนึ่งของกองบินที่ 5 มีสามล้อพ่วง 2-3 คันที่เข้ามายื่นข้อเสนอให้
จาก 200 (ป้าที่โรงแรมบอกมา) เหลือ 40 บาท เราไม่สนใจ ลดให้เหลือคนละ 30 บาท
เราก็ยังยืนยันคำเดิม พวกเราเดินกันต่อไปโดยไม่มีใครรู้ว่า ทางเข้ากองบิน 5
นี่มันอยู่ตรงไหนวะ!??
แต่เราก็ยังเดินกันต่อไป
อารมณ์เหมือนเดินทางไกลสมัยเป็นลูกเสือเนตรนารี จนในที่สุด
ทางเข้ากองบินก็อยู่ตรงหน้า
แต่!!!
ไม่เห็นมีใครเดินเข้าไปเลยว่ะ!!! เอาไงดี??
โอเค เดินลุยเข้าไปเลย ถ้าเข้าไม่ได้เดี๋ยว ทหารยามตรงหน้าประตูก็ไล่ออกมาเองแหละ
ปรากฏว่า พี่แกก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ไล่
ไม่ได้ถามอะไรเราเลยด้วยซ้ำ แต่ว่า หนทางของพวกเรามันไม่ได้จบแค่ทางเข้าเนี่ยสิ
และเราก็เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่า จากทางเข้า ไปถึงเขาล้อมหมวกเนี่ย แมร่งไกลลล
ลิบๆๆๆๆๆๆ เลย
เอาไงดีวะ เดินไปวันนี้จะถึงมั๊ย นี่ก็เกือบจะ 10
โมงแล้ว
ไม่ต้องนึกถึงที่แปลนไว้ว่าจะกลับกรุงเทพฯด้วยรถไฟ อะไรนั่นเลย ลืมรถไฟขากลับไปได้เลย
เราไม่มีทางกลับไปที่สถานีทันอยู่แล้ว เพราะกว่าจะขึ้นไปถึง
ใช้เวลาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ กว่าจะลง กว่าจะเดินทางจากกองบิน 5 ไปโรงแรม
กว่าจะอาบน้ำ เฮ๊ยย มาทะเลมันต้องเล่นน้ำทะเลสิวะ (ถึงแม้น้ำจะเน่าก็เถอะ)
คิดอะไรต่อมิอะไรจนครบถ้วนทุกสิ่งแล้ว สรุปว่า ไม่ได้กลับด้วยรถไฟตอนบ่าย 2
อย่างที่วางแผนไว้แน่นอน
แต่จะกลับด้วยอะไร กลับวันนี้ หรือไม่ ค่อยว่ากันอีกที
อยู่ๆ ก็นึกถึงหนังสือ The Real Alaska ของ เบนซ์
ธนชาติ ขึ้นมา ที่เขาบอกว่า การโบกรถที่อลาสก้าเป็นอะไรที่ง่ายมาก
กระจอกงอกง่อยที่สุด ประมาณว่าถ้าคุณโบกรถที่อลาสก้าแล้วไม่มีใครจอดรับคุณเลย
นั่นคือคุณแมร่งต้องมีปมอะไรซักอย่างในชีวิตแล้วล่ะ เพราะคนอลาสก้าเค้า nice
มาก
เออ..แล้วคนประจวบนี่เค้าจะ nice เท่าคนที่อลาสก้าป่าววะ แล้วก็เกิดไอเดียระเบิดตูมตามขึ้นมาในหัว
“เฮ๊ยยย กูโบกรถนะ กูว่าเดินไป วันนี้คงไม่ถึงว่ะ”
“พี่โบกนะ ผมไม่กล้าโบก”
แหม ไอ้ห่าวัช ทีงี้ละโบ้ยให้กรูเลยนะ แต่ไม่เป็นไร โบกเองก็ได้วะ
หันซ้ายหันขวา มีกระบะโผล่มาจากทางโค้งคันนึง โหลดเตี้ยมาเลย โบกเดี๋ยวนี้ อิจ๋า
โบก!!!! (บอกตัวเอง)
เอี๊ยดดด!!!
รถจอดเทียบข้างทาง ถึงเวลางัดสกิลนักการฑูตออกมาใช้(มีด้วยเหรอ O.O)
“พี่คะ ขอติดรถไปเขาล้อมหมวกได้มั๊ยพี่” ( คือมึงไม่คิดจะถามเขาเลยว่าเขาจะไปทางที่มึงจะไปหรือป่าว)
“อ๋อ ผมไปไม่ถึงเขาล้อมหมวกอ่ะครับ” (นั่นไง หน้าแหกตามระเบียบ _
_!)
“งั้น...พี่ไปตรงอ่าวมะนาวมั๊ยคะ นู๋ไปอ่าวมะนาวก็ได้ค่ะ” (มึงยังจะกล้าต่อรองพี่เค้าอีกเหรออ
ทำไมไม่โบกคันอื่น)
“ถ้าอ่าวมะนาว ไปได้ครับ” (หล่อเลยค่ะพี่
^____^)
“ขอบคุณค่ะพี่”
เฮ๊ยย พรรคพวก ขึ้นรถเว๊ยย !!!
พวกเรากรูกันขึ้นกระบะหลัง พี่แกก็ขับรถออกไป
ตอนนี้แหละที่เริ่มรู้ว่า ค่าสามล้อพ่วง ราคา 40 บาท
มันถูกเป็นขี้เลย เพราะจากทางที่เราเจอสามล้อ มาจนถึงจุดที่เป็นทางเข้ากองบิน
จนมาถึงจุดที่เราโบกรถพี่เค้าตรงนี้ โอ้โหววว มันโคตรไกลเลย แล้วจากจุดนี้
ไปจนถึงอ่าวมะนาว โหววว ไกลมากอ่ะ
คุณพระคุณเจ้า!!!
ทำไมเราถึงไม่ฟังคนแถวนี้
ที่เค้าพยายามบอกเราว่ามันไกลมากนะนู๋ เราระวังตัวกันเกินไป เกินไปเยอะมาก
ความจริง ถ้ามาเที่ยวแล้วโดนหลอกค่ารถ ค่าอาหารบ้าง มันก็อาจจะเป็นสีสัน
ให้การไปเที่ยวมันไม่จืดชืดมากเกินไป เวลาไปประเทศอื่น ก็เคยโดน
มันก็ไม่ได้เสียดายอะไรมากมาย แถมโดนฟันไปเยอะกว่า 40 บาทด้วย
ทำไมเสียดายแค่ 10 นาทีเอง แต่นี่ 40 บาท แถมเป็นชาวบ้านธรรมดา ที่ปกติ
ก็ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาอยู่แล้ว (ตอนที่ไป เราเจอนักท่องเที่ยว น้อยมาก
ถึงมีก็เอารถมาเอง หรือไม่อาจจะมีบ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะเท่าที่อื่นๆ
คนก็ไม่พลุกพล่าน จนรู้สึกว่า ทำไมคนมันน้อยจังวะ ทั้งๆ ที่ก็เป็นวันเสาร์ อาทิตย์
แท้ๆ)
แต่จะดราม่าไปก็เท่านั้น พอมาถึงอ่าวมะนาว
ก็ขอบคุณพี่รูปหล่อคนนั้นที่ให้เรานั่งรถมาด้วย แล้วก็แยกย้าย
พวกเราแวะซื้อน้ำกันที่ร้านกาแฟเล็กๆ น่ารัก ลุงเจ้าของร้าน บอกว่า
ข้างบนเขาล้อมหมวก วิวสวยมาก ขึ้นไปแล้วจะไม่อยากลงมา มีฝรั่งคนนึง ตอนมาใหม่ๆ
ตัวอ้วนๆ พี่แกเดินขึ้นเดินลงเขา วันละ 2 รอบ อาทิตย์เดียว ผอมเลย (น่ามาอยู่ลดน้ำหนักมาก)
เราเดินเข้าไปตามคำแนะนำของลุงเจ้าของร้านกาแฟ
ลัดเลาะริมหาดที่เทาๆ ของอ่าวมะนาว กลิ่นน้ำทะเลเน่า ตีใส่หน้ามาเป็นระยะๆ
จนกระทั้งถึง ทางเข้าเขาล้อมหมวก
“เดินเข้าไม่ได้นะครับ”
พี่ทหารยามบอกตอนเราเดินมาใกล้ๆ
“ห๊ะ เดินเข้าไม่ได้ เอ้า จริงดิ แล้วทำไงอ่ะ”
“ต้องขับรถเข้าไปครับ ถ้าไม่มีรถก็เช่าจักรยานก็ได้ครับ”
เอ่อออ... แล้วจะไปเช่าที่ไหนวะ
อย่าบอกนะว่าให้เดินกลับไปอ่าวมะนาวอ่ะ โหยยยย มันโคตรไกลเลยนะพี่!!!
สรุปว่า ใช่ เราต้องกลับไปเช่าจักรยาน พวกเรามีกัน 4 คน
ต้องเช่าจักรยาน 2 คัน คุณพระมังคละกลองยาว สองหนุ่ม
ไอ้วัช กับไอ้ ฟลุค อาสา วิ่ง ไปเช่าจักรยาน
ตังค์อ่ะพี่
โอเค เอาที่กรูไปก่อน
ไปแล้วค่ารถขากลับ กลายเป้นค่าเช่าจักรยานไปแล้ววว
อุตส่าเขียมมาตั้งแต่เช้า แมร่งเอ๊ยย โดนค่าเช่าจักรยานไปหมัดเดียว น๊อคเลย _
_!
อวสารทริป 500 บาท ที่แปลนมาเป็นอย่างดี
มัน 2 คนหายไปพักใหญ่ๆ ก็กลับมาพร้อมจักรยาน 2 คัน เอาล่ะ
ไปต่อกันได้แล้ว พวกเราปั่นจักรยานเข้ามาในที่ทำการกองบิน 5 ถนนเป็นหลุมประปราย
เราเป็นคนปั่น จุ๋มเป็นคนซ้อน บ่อยครั้งที่เราลืม ว่าเฮ๊ยย ที่นั่งสำหรับคนซ้อนมัน
ไม่ได้นิ่มนะ มารู้ก็ตอนตกหลุมไปแล้ว อิจุ๋มเจ็บตูดไปตามระเบียบ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ในที่สุด ก็มาถึงซะที เขาล้อมหมวกเนี่ย
ตรงทางขึ้นเขาล้อมหมวก จะมีศาลเจ้าพ่อเขาล้อมหมวก อยู่ ถัดมาอีกนิดเป็นที่ให้อาหารค้างแว่น
ชื่นชมความน่ารักของค้างแว่น กันเล็กน้อย ก่อนจะคิดถึงแมวที่บ้าน แล้วเกิดดราม่า
ขึ้นมาอีก เราใช้จังหวะนี้ หนีไปเข้าห้องน้ำ
ซึ่งไอ้ห้องน้ำที่ว่านี่ ก็อยู่ไกลม๊ากกกกกกกกกกกกก
คือถ้าตอนนี้คุนยืนหันหน้าเข้าหาศาลเจ้าพ่อเขาล้อมหมวก ห้องน้ำจะอยู่ด้านหลังคุณ
ดังนั้นให้คุณหันหลังกลับมา แล้วมองไปนู่นเลย ไกลๆ เลยนะ
จะเห็นอาคารสีฟ้าสดใสฟรุ้งฟริ้ง อยู่ในดงต้นอะไรไม่รู้ อยู่ริมหาดเลย
คุณปั่นจักรยานไป ไม่ก็เดินไปตรงนั้นเลยค่ะ หน้าอาคารจะมีห้องน้ำอยู่ ถ้าโชคดี
มันจะเปิด คุณก็สามารถ เข้าไปทำธุระปะปัง นั่งดื่มน้ำปัสสาวะอะไรก็จัดไป
แต่ถ้าเกิดวันนั้นซวย กุญแจมันล็อคอยู่ ให้คุณเดินเลยไปอีกนิดนึง
มันจะเป็นพิพิธภัณฑ์ของกองบินฯ ตรงนั้นมีต้องน้ำ เข้าได้ค่ะ
โอเค จบเรื่องห้องน้ำ กลับมาที่เขาล้อมหมวก เราเริ่มเดินขึ้นเขากัน
อย่างสบายใจ อ่าห์...จากนี้ไปคงไม่มีอะไรลำบากอีกแล้ว
เพราะ...มันมีบันไดให้ไต่ขึ้นไปค่ะ (ยิ้มแรง)
แต่ยังไม่ทันทีพวกเราจะได้ดื่มด่ำกับความสะดวกสบาย
ฉับพลันบันได มันก็หายไป!!! ตายห่าแล้ว!!! เหลือแต่เชือก กับก้อนหิน
แบบนี้
และในที่สุด บางคน
ก็เลยต้องโชว์พุง...แบบนี้...
ทางขึ้นช่วงแรกเป็นบันได ไม่ลำบากเท่าไหร่ แต่เหนื่อยสัส
อากาศไม่ร้อนเท่าไหร่ แต่เหงื่ออกหนักมาก ไหลพรากๆ แป๊บเดียวเปียกไปทั้งตัว (มิน่าละ
ฝรั่งคนนั้นถึงได้ผอม) ช่วงที่ 2 เริ่มเป็นเส้นทางไต่เขา
ที่มีเพียงเชือกให้จับยึดไต่ ไปกับก้อนหินแหลมคม ใหญ่บาง น้อยบ้าง ถึงจุดนี้
เพื่อนร่วมทางที่ได้เจอะเจอกันบ้าง ในเส้นทางช่วงแรก เริ่มหายหน้าหายตาไป
เหลือเพียงกลุ่มเรา 4 คน บ้างก็แซงไปก่อน และบางส่วนเดาว่า กลับลงไปแล้ว
ช่วงนี้แดดแรงขึ้นเล็กน้อย อากาศร้อนขึ้น เหงื่อไหลไคลย้อยเพิ่มมากขึ้น
มือเริ่มชุ่มเหงื่อ น้ำขวดใหญ่ที่แบกมา ลดเหลือครึ่งขวดแล้ว
แต่นี่มันยังไม่ครึ่งทางเลย...
ไต่ๆๆ ไปได้อีกซักพัก ไอ้ฟลุคเริ่มทะเลาะกับรองเท้าแตะ
ใช่...ถูกแล้ว เราไม่ได้เขียนผิด พี่แกลากรองเท้าแต่ะมาปีนเขาจริงๆ และตอนนี้
มันก็เริ่มลื่นหลุดบ้าง ไม่หลุดบ้างเข้าให้แล้ว
ทางที่จะขึ้นไปก็ยังชันขึ้นอีกเรื่อยๆ พวกเราเริ่มมีปากเสียงกันเล็กน้อย
เรื่องรองเท้าแตะของไอ้ฟลุค แต่พอซักพัก เราก็ทะเลาะกันลั่นป่า ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เอาจริงๆ ถ้าที่นี่มีเสือ หรือมีหมี เหมือนในหนังสือ The real Alaska ป่านนี้
มันคงกลัวพวกเราขี้หดตดหาย วิ่งเข้าไปไปไกลแล้ว
แต่ระหว่างที่เรากำลังด่ากันเสียงดังเลื่อนลั่นปฐพี
ก็มีเราบางคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังๆ เราเองก็ด้วย หัวเราะจนปวดกาม เออ
เพื่อนทะเลาะกันอยู่ดันมาฮาซะได้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
และในที่สุด ไอ้ฟลุคก็ถึงคราวโชคเลือด ไม่รู้ว่าไปพลาดตรงไหน เมื่อไหร่
แต่พอเหลือบไปเห็นอีกที พี่แกเข่าแตกมาเรียบร้อยแล้ว เรานี่ดาวขึ้นยิบๆ เลย
คือเป็นคนกลัวเลือดไง กลัวถึงขั้นเคยหน้ามืด ร่วงลงไปกองกับพื้นมาแล้วด้วย
แต่ครั้งนี้แค่วิ๊งๆ ไม่ถึงกับมือไม้อ่อน พยายามบอกตัวเองว่า ห้ามปล่อยเชือกนะ
ถ้าร่วงไปนี่เละนะ เพื่อนไม่แบกกลับบ้านะ แถวนั้นหินเริ่มชัน
ถึงขั้นตั้งฉากกับพื้นโลก แล้วไม่มีร่องใหญ่ๆ ให้เหยียบเลยด้วย ยิ่งคิดถึงตัวเอง
ที่หล่นกระแทกหิน แง่งนั้น ปุ๊ แง่งนี้ ปู๊ โอ๊ยยย จับเชือกไว้ให้แน่นเลย
พอถึงทางราบ จุ๋มกับไอ้ฟลุคนั่งพัก
เราช้าสุดในกลุ่ม ตามมานั่ง ไม่เห็นไอ้วัช สอบถามได้ความว่า มันล่วงหน้าไปแล้ว
พอหายเหนื่อย เลยจะปีนตามไป จุ๋มกับไอ้ฟลุคยอมแพ้แล้ว เพราะไอ้ฟลุคไม่ไปต่อแล้ว
แล้วก็ไม่อยากนั่งรออยู่คนเดียวด้วย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (จบทริปนี้ ไอ้ฟลุคโดนล้อหนักมาก
น่าฉงฉาน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ )
เราปีนตามไอ้วัชขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ก็ก็ยังไม่เห็นเงา ไม่ได้ยินเสียง
มันคงไปถึงยอดแล้วแหละ หันไปซ้ายมือ เจอจุดนึง มองเห็นวิวอ่าวมะนาว เออสวยดี
ลมเย็น มีที่นั่งพักได้ โอเค กูนั่งถ่ายรูปตรงนี้ก็ได้วะ
“พี่จ๋า ถึงยังงงงงง” เสียงไอ้วัชดังลั่นมาจากข้างบน
อ่าวกูก้นึกว่าเมิงถึงยอดเขาแล้ว ตอนเรียกไปมันก็ไม่ตอบด้วยนะ กูนี่ก็นั่งชิวเลย
“เออๆ เดี๋ยวตามไป แป๊บนึง”
เรารีบปีนตามขึ้นไป
อ่าว เวรละ !!! ไม่มีที่เกาะ สบายละอิจ๋า
กล้องก็กระแทกอะไรต่อมิอะไรไปตลอดทาง มาคิดๆ ดู เออกล้องมันก็ถึกดีเหมือนกันนะ
พอหาทางไต่ระดับขึ้นไปได้อีก ซักพัก ก็เจอไอ้วัชสวนลงมา
“พี่จุ๋มอ่ะ”
“อยู่ข้างล่าง บอกเดี๋ยวตามมา”
“เอ้า เดี๋ยวผมไปรับก่อนนะ พี่รอผมก่อนนะ” โอเค รอก็รอ
งั้นกูนั่งรอตรงนี้แหละ เรานั่งถ่ายรูปไปเรื่อยๆ มุมเดิม เพราะซ้ายขวา ไม่กล้าไป
กลัวไปแล้วกลับมาในเส้นทางไม่ได้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ได้ยินเสียงแว่วๆ มาจากข้างล่าง เอ้า พวกมันตีกันข้างล่างอีกแล้ว
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ขณะที่กำลังนั่งขำพวกมันอยู่ มี 2 คนเดินลงมาจากข้างบน
ไถ่ถามได้ความว่า จากตรงนี้ ยังอีกไกลนะ ทางโหดด้วย แต่ข้างบนสวยนะ
เห็นแล้วหายเหนื่อยเลย
แต่ที่เราเห็นแล้วฮึดมากคือ เฮ๊ยย เค้าก็ใส่แตะมาว่ะ
เค้ายังขึ้นได้เลย ไอ้ฟลุคก็น่าจะมาได้ดิ แต่ไอ้วัชก็ตามมาสรุปสุดท้ายว่า
มันไม่มาแล้ว เลยโอเค ไปกัน 2 คนก็ได้วะ เราก็หลับหูหลับตาไต่ๆๆ มาซักพักใหญ่ๆ
ทางก็โหดสัส รัสเซีย ไม่ได้เกรงใจใครเลย แล้วเสียงไอ้วัชก็ตะโกนมา
“ถึงแล้วพี่!!!”
เราสวนกลับทันทีในใจ “มึงหลอกกูละ!!”
แต่พอดันตัวขึ้นพ้นก้อนหินก้อนที่อยู่ตรงหน้า ก็เจอ ธงสีเหลือง หันไปทางขวา
เจอมณฑปที่มีพระพุทธรูปอยู่ภายใน และพอมองไปรอบๆ ตัว โหววว โคตรพาโนราม่าอ่ะ ทะเล
ทะเลล้อมรอบเขาเลย
แต่เฮ๊ยย ใจเย็น ขานี่สั่นผับๆ เลย คือนอกจากกลัวเลือดแล้ว ยังกลัวความสูงอีกด้วย เพิ่งรู้ว่ากลัว ตอนไปหลวงพระบางนี่แหละ แต่ยอดพูสีที่หลวงพระบาง มันเทียบไม่ได้กับที่นี่เลย ความจริง เทียบกับเขาช่องกระจกก็ยังไม่ได้เลย ที่นี่มันสูงมาก สูงลิบเลย แดดก็เปรี้ยงมาก แดดแรงจนแสบตัวไปหมด
แต่เฮ๊ยย ใจเย็น ขานี่สั่นผับๆ เลย คือนอกจากกลัวเลือดแล้ว ยังกลัวความสูงอีกด้วย เพิ่งรู้ว่ากลัว ตอนไปหลวงพระบางนี่แหละ แต่ยอดพูสีที่หลวงพระบาง มันเทียบไม่ได้กับที่นี่เลย ความจริง เทียบกับเขาช่องกระจกก็ยังไม่ได้เลย ที่นี่มันสูงมาก สูงลิบเลย แดดก็เปรี้ยงมาก แดดแรงจนแสบตัวไปหมด
เราค่อยๆ คลานไปหามณฑป เพราะเดินไม่ได้ เหมือนแผ่นดินมันจะเอียง พอตั้งหลักได้ ก็เริ่มฟินกับวิวพาโนราม่า ที่แบบ เออ ยังไม่เคยเห็นแบบนี้ที่ไหนมาก่อน เริ่มเดินสำรวจตรงนั้น ตรงนู้น ตรงนี้ พอเดินไปตรงปลายติ่งที่ยื่นไปทางอ่าวประจวบ ก็เจอ 2 คนกำลังจะลงเขา ฝนเริ่มตั้งเค้ามาแล้ว เมื่อกี้แดดยังเปรี้ยงๆ อยู่เลย ธรรมชาติก็ตลกแบบนี้ละมั๊ง
ตอนนี้ หิวน้ำมาก เพราะน้ำที่แบกมานั้น ทิ้งไว้กลางทาง
ตรงโขดหินตรงไหน ซักตรงก่อนที่จะถึงยอดเขานี่แหละ เพราะแบกมาไม่ไหว ไม่ได้เอาเป้มา
คือถือขวดน้ำมากัน ผลัดกันถือมากันนี่แหละ เปรี้ยวจริงๆ
เหลือบไปเห็นขวดน้ำใครไม่รู้วางอยู่ครึ่งขวด อยากกินมาก พูดเลย
ถามไอ้วัช ไอ้วัช บอกอย่าเลยพี่ น้ำใครก็ไม่รู้ โอเค ไม่กินก็ไม่กิน เดินมาอีกนิด
เจอเป็นขวดแบบซีลฝาด้วยพลาสติก ยังไม่ได้แกะเลย น้ำเต็มขวด ถามไอ้วัชอีกรอบ
ไอ้วัชบอกน้ำของพระ กินไมได้
เราก็ “หืมม พระไหนวะ”
“ก็พระพุทธรูปนี่ไงพี่”
“โอ๊ยยย ไอ้บ้า พระพุทธรูปว๊อย ท่านไม่ฉันน้ำ”
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เปิดขวดกินแต่อย่างใด เราถ่ายรูปกันอยู่อีกไม่นาน
ฝนเริ่มลงเม็ด 2 คนที่เราเจอบอกว่า รีบลงเถอะ เดี๋ยวฝนตกหนักแล้วจะลื่น
แต่เราก็ไม่รีบเพราะ
- ดูแล้วว่า หินที่ชันๆ โหดๆ ที่เราผ่านมาเนี่ย
มันไม่ได้มีตะใคร่น้ำเกาะ มันเป็นหินปูน ถึงเปียกน้ำก็คงไม่ลื่นหรอก
- กลัวพลาดกลิ้งตกลงไป
ฝนเริ่มเม็ดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นห่วงกล้อง กลัวกล้องจะเปียก เลยเอา
เสื้อคลุมพันรอบกล้องไว้ ตอนขึ้นว่ายากแล้ว ตอนลงนี่ คูณ 8 เลย
คือเวลาขึ้น จะจับเชือกไต่หินขึ้นไปช่ายมะ แต่ขาลงนี่แบบ บางช่วงไต่ได้
บางช่วงต้องโหนตัว เหวี่ยงตัวหาที่เหยียบ บางช่วงต้องเอาทั้งตัวเนี่ย
แนบไปกับหินแล้วค่อยๆ กระดึ๊บๆ ไป ใช้ร่างกายทุกส่วนครบเลย
ขาลงเราสวนกับ 4 คนที่กำลังจะขึ้นไป พี่เค้าดูพร้อมมาก อุปกรณ์
เครื่องไม้เครื่องมือ แบบเต็มยศมาก พี่เค้าก็ถามด้วยความหวังดีว่า หน้ามืด
จะเป็นลม หรือป่าวครับ
ไม่ค่ะพี่ นู๋ไม่เข้าใกล้ภาวะนั้นเลยค่ะ ตอนนี้หัวใจเต้นแรงมาก
อะดรีนาลีนสูบฉีดจะมันจะพุ่งออกมาทางรูจมูกแล้ว มีพี่คนนึงยื่นมือมาจะช่วยประคอง
โอ้วว ขอบคุณมากค่ะพี่ แต่นู๋ไม่ถนัดค่ะ ลงเองน่าจะสวยกว่า
(กราบขอบพระคุณพี่ๆ ทีมนั่นด้วยนะคะ ขอบคุณจากใจจริงเลยค่ะ _/\_
)
จากนั่นก็ตัดสินใจฝากกล้องไว้ที่ไอ้วัช ฮ่าๆๆๆๆๆ ผลักภาระให้มันซะเลย
พอลงมาเจอจุ๋มกะไอ้ฟลุคยังนั่งอยู่ พักแป๊บนึง แล้วเดินกันต่อ พอถึงข้างล่าง
ฝนไม่มีเลย เราซื้อน้ำเปล่าคนละขวด ยี่ห้ออะไรจำไม่ได้
แต่เป็นน้ำเปล่าที่อร่อยที่สุดในโลกเลย พักหายใจหายคอ
กันแล้วก็ปั่นจักรยานมาเล่นน้ำ ทะเลกันต่อ
ปรากฏว่าน้ำเน่าจ๊ะ
ที่จริง(ใครๆก็รู้) ว่าอ่าวมะนาวน้ำเน่าแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะใกล้ๆ
ตรงนั้นมีการทำประมง มิน่าเลยไม่ค่อบเห็นคนลงเล่นน้ำกันเลย แต่ถามว่า
พวกเราเล่นมั๊ย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ มากันขนาดนี้ มีหรือจะไม่เล่น แต่แป๊บเดียวก็เลิก
เพราะมันไม่มีคลื่น แถมฝนก็ตั้งเค้าไล่มาแล้วด้วย
ขากลับอาบน้ำจืดคนละ 5 บาท นั่งสามล้อกลับโรงแรม
100 นึง และนี่คือ 100 บาทสุดท้าย จากนี่คือเกาะเพื่อนกินอย่างแท้เต็มรูปแบบ
พอกลับถึงโรงแรม อาบน้ำ คนละ 20 บาท กินข้าว แล้วก็นั้งรถตู้กลับกรุงเทพฯ
โดยสวัสดิภาพ...
ด้วยรัก และ ไปเที่ยวกันเถอะ
0 ความคิดเห็น